ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ สุนัขที่แพงที่สุดในโลก

ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ สุนัขที่แพงที่สุดในโลก : ราคา 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 57 ล้านบาท สุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan Mastiff) เป็นสุนัขที่ขึ้นชื่อว่าดุร้ายและยังราคาแพงมากอีกด้วย ไม่แปลกที่หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้จักมัน เพราะมันเป็น สุนัขสายพันธุ์โบราณ ที่มีถิ่นกำเนิดบริเวณทิเบตไล่ไปจนถึงบริเวณเอเชียกลาง-ประเทศอินเดีย มันมีชื่อเรียกในภาษาทิเบตว่า โทชี (Do-khyi) ซึ่งแปลว่า สุนัขที่ต้องถูกผูกไว้ และยังมีความเชื่อเกี่ยวกับว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านจึงเลี้ยงไว้ใช้เฝ้าฝูงแกะ ฝูงจามรีบนภูเขา แต่ปัจจุบันนี้เจ้าสุนัขทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan Mastiff) มีขนาดเล็กลงเพราะสายเลือดบรรพบุรุษของมันมีการผสมข้ามสายพันธุ์กัน ทำให้มันมีลักษณะเปลี่ยนไป จนทุกวันนี้ สำหรับสุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan Mastiff) ในประเทศไทยมีเหลือง 10 ตัวเท่านั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศจีน เพราะมีกลุ่มอนุรักษ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ ให้ยังคงอยู่ต่อไป สุนัขพันธุ์นี้จึงมีราคาสูง ก็เพราะมันเป็นสุนัขที่หายากนั่นเอง

ลักษณะร่างกายของสุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan Mastiff)
ทิเบตัน จัดว่าเป็นสุนัขที่มีโครงสร้างใหญ่ ใกล้เคียงกับสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ (Rottweiler)หรือใหญ่พอๆกับสุนัขพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ด (St. Bernard ) เพราะมันมีกะโหลกศีรษะใหญ่ กล้ามเนื้อหนาแน่น และขาหน้าใหญ่ รวมไปถึงจุดสีแทนเหนือตาทั้งสองข้าง ซึ่งชาวทิเบตเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี เปรียบเสมือนตาวิเศษ ยิ่งเวลาที่มันยืนหางของมันจะม้วนตลบขึ้นอยู่บนหลัง นอกจากนี้มันยังมีขนหนา(แต่ไม่เหม็นสาบ) ทนกับสภาพอากาศหนาวได้เป็นอย่างดีแถมน้ำลายของมันก็มันเหนียวเหนอะเลอะเทอะคนเลี้ยงอีกด้วย สุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan Mastiff) มีลักษณะขนแบ่งเป็น 2 ชั้นและมีหลายสีด้วยกัน เช่น สีดำ น้ำตาล สีแดง เป็นต้น ส่วนสีที่ราคาที่สูง คือสีขาวหิมะ พันธุ์แท้ ราคามีมูลค่ามากถึง 20 ล้านบาท น้ำหนักตัวเฉลี่ยของมันปกติอยู่ที่ประมาณ 60-70 กิโลกรัม ส่วนความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 61 – 72 เซนติเมตร และมีอายุอานามโดยเฉลี่ยได้ถึง 18 ปีทีเดียว
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับสุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan Mastiff) ก็คือ ลักษณะนิสัยของมันหากเรามองข้ามเรื่องความดุร้าย ความน่ากลัวของมัน เราอาจจะหลงรักความน่ารักของมันที่มีความจงรักภักดีต่อเจ้าของหรือคนในครอบครัว มีความกล้าหาญและแข็งแกร่งมากๆ อีกด้วย อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญสำหรับสุนัขพันธุ์ทิเบตัน แมสทิฟฟ์ ( Tibetan mastiff ) คือ เรื่องของการขยายพันธุ์ของมัน เนื่องจากมันสามารถผสมพันธุ์ได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น โดยจะผสมพันธุ์ในช่วงเดือนพฤศจิกายน และก่อนที่ผสมพันธุ์จะมีการผลัดขนเพื่อจะเตรียมตัวในการผสมพันธุ์
ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ ทำไมถึงโดนเมินจนหมดค่า

การฝึกฝนยากมาก
สุนัขทิเบตัน มาสทิฟฟ์ สืบเชื้อสายมาจากโบราณแม้ว่าจะมีการผสมพันธุ์มานานแต่เชื้อสายของมันเองก็ยังมีอยู่ กล่าวคือมันเป็นสุนัขสัญชาตญาณดิบ หวงแหนพื้นที่ อาณาเขตสูงมาก ทำให้มันมีนิสัยค่อนข้างดุร้าย หากจะเอามาเลี้ยงในฐานะสัตว์เลี้ยงต้องผ่านการฝึกฝนอย่างดีจากครูฝึก ไม่งั้นมันก็พร้อมจะทำร้ายทุกคนไม่เว้นแม้แต่เจ้าของมันเอง เราจะเคยได้ยินข่าว ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ ทำร้ายผู้คนจนเกิดบาดเจ็บ (นั่นขนาดฝึกมานะ)
ค่าใช้จ่ายสูง
การเลี้ยงสุนัขพันธ์ใหญ่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก แค่โกลด์เด้นรีทีฟเวอร์ที่มีน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม ก็ต้องหมดอาหารเม็ดเป็นกระสอบต่อเดือน หากเราขยับไปเลี้ยง ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ มีน้ำหนักมากถึง 140 กิโลกรัม เอาแค่เรื่องอาหารเดือนหนึ่งก็หมดไปหลายบาท ยังไม่นับค่าใช้จ่ายอื่นอย่าง ค่าอาบน้ำ ค่าตกแต่งขน ค่าวัคซีน ค่าหมอ ค่าห้องแอร์ ค่าของเล่น อีกจิปาถะ ค่าใช้จ่ายสูงขนาดนี้หากไม่รวยจริงก็เลี้ยงยากมาก บางคนเลี้ยงสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหวก็ต้องปล่อยให้กลายเป็นสุนัขจรจัดไปเพื่อลดค่าใช้จ่ายของตัวเอง
สุนัขโดนคัดทิ้ง
กระแสความต้องการทิเบตัน มาสทิฟฟ์ ทำให้ร้านสุนัขต่างแข่งกันเพาะพันธุ์สัตว์พันธุ์นี้ออกมาเพื่อเอาไปขาย ตัวหนึ่งมีราคาสูงระดับล้านหยวนก็ยิ่งทำให้แข่งกันเข้าไปอีก อย่างไรก็ตามทิเทบตัน มาสทิฟฟ์ จะขายได้นั้นจะต้องเป็นตัวมีขนสีน้ำตาล หรือ สีแดงเท่านั้น เพราะมันหมายถึงสัญลักษณ์อำนาจของสัตว์ด้วย หากทิเบตัน คลอดใหม่ไม่ได้เป็นสองสีนี้ละจะเป็นอย่างไร คำตอบก็คือมันจะโดนคัดทิ้งดั่งสินค้าตกรุ่น สินค้าไม่ได้คุณภาพนั่นเอง (อ่านแล้วน่าสงสารไหม) เพราะคงไม่มีใครจะซื้อหมาลักษณะไม่ดี แถมค่าใช้จ่ายสูงไปเลี้ยงแน่
ไม่ได้เลี้ยงเพราะรักจริงๆ
เหตุผลสำคัญที่สุด ทำให้ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ กลายเป็นสุนัขจรจัดเลยก็คือ คนเลี้ยงสุนัขตัวนี้ไม่ได้เลี้ยงมาจากความอยากเลี้ยงจริง คนรวยหลายคนอยากเลี้ยงเพราะมองเป็นของเล่นมากกว่า มองว่าเป็นกระแส มองว่าทิเบตัน เป็นเครื่องมือในการแสดงอำนาจความรวยของตัวเอง มองว่าเป็นของที่ต้องมีเพื่อจะได้มีหน้ามีตาในสังคมคนรวยมากกว่า เมื่อกระแสหมดความเห่อ ความต้องการหมดลง สุนัขทิเบตัน มาสทิฟฟ์จึงกลายเป็นสิ่งของถูกทอดทิ้งอย่างนี้เอง