แพทย์แนะนำ กินเจอย่างไรให้ไตไม่พัง เมื่อถึงช่วงเทศกาลกินเจ บางคนอาจจะล้างท้องรอตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเตรียมปรับสภาพร่างกายให้คุ้นเคยกับการกินอาหารเจ ซึ่งแต่เดิมนั้นการกินเจ ค่อนข้างจะเคร่งครัดมาก แต่ปัจจุบันมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งรูปแบบการทำอาหาร และวัตถุดิบ ทำให้คนหันมากินเจกันมากขึ้น และอย่างที่เราทราบกันดีว่าอาหารเจนั้น ส่วนใหญ่มักจะทำมาจากแป้ง และมีรสชาติติดหวาน มัน และเค็มจัด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และเสี่ยงต่อทำงานหนักของไต ฉะนั้น เพื่อเป็นการทำความเข้าใจการกินเจให้ปลอดภัย เราเลยมีบทความน่ารู้มาฝาก เป็นคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่แนะนำการกินเจให้ไตไม่พัง ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลยค่ะ
กินเจอย่างไรให้ไตไม่พัง

- เลือกทำอาหารเอง
การเลือกทำอาหารเอง ทำให้เราได้เลือกวัตถุดิบได้เอง และเลือกใช้เครื่องปรุงได้เองตามใจชอบ ซึ่งทำให้เรากะปริมาณในการใช้เครื่องปรุงให้เหมาะสม กับรสชาติของเราได้ จึงควรถือโอกาสนี้ลดการปรุงรสจากซอส และเครื่องปรุงต่าง ๆ ลองใช้เครื่องเทศในการเพิ่มรสชาติ เน้นอาหารที่มีรสชาติไม่จัดมาก เช่น แกงจืด ผัดผัก (ลดการกินส่วนที่เป็นน้ำในผัด) รวมไปถึงการลดการบริโภคน้ำซุปจากก๋วยเตี๋ยว ต้ม แกงต่าง ๆ จะทำให้เราได้ลดการบริโภคโซเดียมลงได้เอง
- เลือกกินผลไม้
หากอยากรับประทานอาหารหวาน ๆ ในช่วงกินเจ หันมารับประทานผลไม้มากขึ้น จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามิน กากใยอาหาร และคุณค่าทางสารอาหารที่ดี ต่อร่างกายมากมาย แทนการรับประทานขนม ที่อาจทำมาจากแป้ง และน้ำตาล รวมถึงของทอดต่าง ๆ
- เลือกกินผักมากขึ้น
การกินผักอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้ ซึ่งใน 1 วันควรกินผักให้ได้อย่างน้อย 400 กรัม เหตุผลเดียวกันกับการเลือกรับประทานผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อที่ให้กากใยอาหารของผักช่วยลดปริมาณไขมันในหลอดเลือดได้ รวมไปถึงแร่ธาตุต่าง ๆ จากผักยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อีกด้วย
- เลือกกินถั่วและธัญพืช
เพราะเป็นอาหารธรรมชาติ และมีคุณค่าทางโภชนาการดีกว่า หรือกินพวกเต้าหู้ก็จะดีกว่ากินเนื้อเทียม เพราะจะได้คุณค่าทางอาหาร และมีสารต้านอนุมูลอิสระด้วย ซึ่งในระยะยาวจะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้ อย่างเช่น ถั่วและธัญพืช เป็นแหล่งโปรตีน และวิตามินอันหลากหลายที่ดีต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังให้พลังงาน มีกากใยอาหารที่ช่วยให้การทำงานของระบบขับถ่ายดีขึ้น และยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายอีกด้วย
- เลือกสั่งอาหาร ลดมัน ลดหวาน ลดเค็ม โดยอัตโนมัติ
ทุกครั้งที่สั่งอาหารที่ร้าน สั่งเพิ่มไปว่าให้ลดมัน หวาน และเค็ม ทุกครั้ง จะช่วยให้คนปรุงอาหารไม่ปรุงรสชาติจัดจนเกินไป และหากเรากินรสชาตินี้บ่อย ๆ ก็จะทำให้เราคุ้นชินกับรสนั้น ๆ ได้โดยไม่รู้สึกว่ามันจืดอีกต่อไป

- เลี่ยงการปรุงเพิ่ม
อาหารที่เรามักติดการปรุงเพิ่ม เช่น ก๋วยเตี๋ยว สุกี้ ผัดซีอิ๊ว อาหารจานเดียวต่าง ๆ ที่เรามักเติมน้ำปลาพริก น้ำตาล หรือซอสต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ ลองเปลี่ยนมาชิมอาหารที่จานก่อนปรุงทุกครั้ง เพราะในหลาย ๆ ครั้งทางร้านปรุงมาให้แล้ว จึงควรลดการปรุงรสเพิ่มโดยไม่จำเป็น
- เลี่ยงเนื้อเทียมจากแป้ง
อาหารเจที่เป็นเนื้อสัตว์เทียม มักมีส่วนผสมเป็นแป้ง หากสามารถลด หรือเลี่ยงการกินเนื้อเทียมได้ ก็จะช่วยลดการบริโภคแป้งให้กับร่างกายได้เช่นกัน นอกจากนี้ เนื้อสัตว์เทียมมักมีการปรุงรส ดังนั้นหากรับประทานในปริมาณมาก ๆ จึงอาจทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไปในแต่ละวันได้เช่นกัน
- เลี่ยงขนมขบเคี้ยว
ขนมขบเคี้ยว ขนมถุงทั้งหลาย มักมีปริมาณโซเดียมค่อนข้างสูง ดังนั้น หากไม่จำกัดปริมาณในการบริโภคให้เหมาะสม ก็อาจทำให้เราบริโภคโซเดียมเกินปริมาณ ที่กำหนดในแต่ละวันได้เช่นกัน
- เลี่ยงของทอดและน้ำอัดลม
อาหารทอดมักมีปริมาณไขมันสูง ส่วนน้ำอัดลมก็เป็นเครื่องดื่ม ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ดังนั้นอาหารทั้งสองเมนูนี้จึงควรหลีกเลี่ยง หรือรับประทานในปริมาณที่จำกัด ไม่เผลอรับประทานมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้หลังออกเจน้ำหนักขึ้นได้ง่าย ๆ

สำหรับวิธีลดปริมาณโซเดียมในร่างกาย เบื้องต้นสามารถทำได้ ดังนี้
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อจะขับเกลือออกไปทางปัสสาวะ แต่ก็จะช่วยได้เพียงเล็กน้อย เพราะเกลือต้องออกมาทางไตอยู่ดี ไตก็ทำงานหนัก
- มื้อถัดไปให้กินเค็มให้น้อยลง เพื่อให้ไตของเราจะได้พักบ้าง
- ออกกำลังกาย เกลือจะถูกขับออกไปทางเหงื่อ ระหว่างการออกกำลังกาย ลดการทำงานของไตได้
- กินผักผลไม้มากขึ้น สามารถช่วยลดความดันเลือด ช่วยขับปริมาณโซเดียมส่วนเกินในร่างกาย
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ แพทย์แนะนำ กินเจอย่างไรให้ไตไม่พัง ที่เราได้รวบรวมมาฝากวันนี้ การกินเจเรียกได้ว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ในการดูแลสุขภาพของคนรุ่นใหม่ และหากทำจนเป็นนิสัย ก็จะส่งผลดีกับร่างกายในระยะยาว สุขภาพร่างกายแข็งแรง ที่สำคัญการทานผักผลไม้แทนเนื้อสัตว์ ก็จะช่วยให้ระบบร่างกายย่อยง่าย มีผิวพรรณที่สดใส สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายไม่เจ็บป่วยง่าย แถมยังได้ทำบุญไปในตัวอีกด้วย
บทความแนะนำ